ศ. ) จุลศักราช (จ. ) เป็นต้น สำหรับการกำหนดยุคสมัยทางประวัติศาสตร์จะกำหนดตามลักษณะเด่นของเหตุการณ์ เช่น เมื่อกล่าวถึงช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่มีตัวหนังสือใช้บันทึกก็กำหนดยุคสมัยทางประวัติศาสตร์เป็น "สมัยก่อนประวัติศาสตร์" เมื่อกล่าวถึงช่วงเวลาที่มนุษย์เริ่มมีตัวหนังสือใช้ก็กำหนดเวลาเป็น "สมัยประวัติศาสตร์" ส่วนการแบ่งสมัยประวัติศาสตร์ในดินแดนไทยนิยมใช้เกณฑ์การแบ่งตามอาณาจักรหรือราชธานี หรือแบ่งตามสมัยของราชวงศ์ และแบ่งตามลักษณะสำคัญของประวัติศาสตร์ 2. การนับและการเทียบศักราชในประวัติศาสตร์ไทย การนับศักราชแบบไทยมีอยู่หลายแบบ ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้ – พุทธศักราช (พ. ) พ. ใช้กันแพร่หลายในประเทศที่ประชาชนนับถือพระพุทธศาสนา เช่น ไทย ลาว พม่าและกัมพูชา โดยไทยเริ่มใช้ พ. มาตั้งแต่สมัยอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและใช้อย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยเริ่มนับ พ. 1 เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว 1 ปี – มหาศักราช (ม. ) ม. เป็นศักราชที่เริ่มใช้ในอินเดียโดยพระเจ้ากนิษกะแห่งราชวงศ์กุษาณะทรงตั้งขึ้น และต่อมาได้แพร่หลายไปยังดินแดนที่ได้รับอารยธรรมอินเดียมหาศักราชพบมากในจารึกสมัยสุโขทัยและจารึกในดินแดนไทยรุ่นแรก ๆ การเทียบมหาศักราชเป็น พ.
1 วัน มีชื่อวันเรียงตามลำดับใน 1 สัปดาห์มี 7 วัน ตั้งแต่วันอาทิตย์ จนถึงวันเสาร์ 3. 2 เดือน มีชื่อเดือนเรียงตามลำดับใน 1 ปี มี 12 เดือน ตั้งแต่มกราคม จนถึงธันวาคม เดือนที่มี จำนวน 31 วัน มี 7 เดือน ลงท้ายว่า "คม" เดือนที่มีจำนวน 30 วัน มี 4 เดือน ลงท้ายคำว่า "ยน" เดือน กุมภาพันธ์ มี 28 – 29 วัน มีเพียงเดือนเดียว 3. 3 ปี จะกำหนดตัวเลขตามปีพุทธศักราชในประเทศไทย และปีสากลจะเป็นตัวเลขตามปี คริสต์ศักราช ส่วนชาติอื่นก็จะมีการกำหนดและนับปีตามท้องถิ่นของตนเอง
สำหรับมหาศักราชนี้มีที่มาจากพระเจ้ากนิษกะแห่งราชวงศ์กุษาณะในประเทศอินเดีย ก่อนจะเผยแพร่มายังประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในศิลาจารึกยุคก่อนสุโขทัยและสมัยสุโขทัย มหาศักราชที่ 1 ตรงกับ พ. 622 จุลศักราช (จ. ) จุลศักราชเริ่มนับครั้งแรกเมื่อปี พ. 1182 ซึ่งที่มาของจุลศักราชนั้น ยังไม่แน่ชัด บ้างก็กล่าวว่ามาจากพม่า โดยเริ่มจากวันที่ พระเถระนามว่าบุพโสระหัน สึกจากการเป็นพระออกมาชิงราชบัลลังก์ ในสมัยพุกาม บ้างก็กล่าวว่ามาจากล้านนา โดย พระยากาฬวรรณดิศ ได้ตั้งจุลศักราชขึ้นมาใช้แทนมหาศักราช หรือบางแหล่งกล่าวว่า จุลศักราชมีพัฒนาการมาจาก ศักราชโบราณของอินเดีย เช่นเดียวกับมหาศักราช โดยนิยมใช้จุลศักราช สำหรับคำนวณเกี่ยวกับโหราศาสตร์ จารึก ตำนาน จดหมายเหตุ พงศาวดารต่าง ๆ ก่อนจะถูกยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะเปลี่ยนมาใช้รัตนโกสินทรศก (ร. ) รัตนโกสินทรศก (ร. ) หลังจากยกเลิกจุลศักราชแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้ริเริ่มการใช้รัตนโกสินทรศก (ร. ) ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ในปี พ. 2325 ก่อนจะถูกยกเลิกการใช้ในช่วงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว การนับศักราชแบบอื่น ๆ คริสต์ศักราช (ค.
ปฏิทินของโลกได้เกิดขึ้นในสมัยใด ก. สมัยโรมัน ข. สมัยกรีก ค. สมัยฟินิเซียน ง. สมัยค้นพบทวีปอเมริกา ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 2. คาว่า ศักราช เป็นการกาหนดโดยใช้สิ่งใด ก. กระประสูติขิงกษัตริย์จนถึงสวรรคต ข. การขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จนสวรรคต ค. การประสูติจนถึงขึ้นครองราชย์ ง. การขึ้นครองราชย์ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 3. การนับปีพุทธศักราชเริ่มนับเมื่อใด ก. นับเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ ข. นับเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวช ค. นับเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ง. นับเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 4. AD 1 ต่างจาก 1 BC อย่างไร ก. AD 1 เป็นปีแห่งพระเจ้า 1 BC เป็นช่วงเวลาก่อนพระเยซูประสูติ ข. AD1 เป็นปีก่อนพระเยซูประสูติ 1 BC เป็นปีแห่งพระเจ้า ค. AD1 เป็นปีพระเจ้าสูญสิ้น 1 BC เป็นปีแห่งพระเจ้า ง. AD1 เป็นปีแห่งพระเจ้า 1 BC เป็นปีแห่งพระเจ้าสูญสิ้น 5. วันที่เท่าใดถือเป็นจุดเริ่มต้นของฮัจเราะห์ศักราช ก.
1 ยุคสำริด มีอายุประมาณ 3, 500 ปีมาแล้ว ดังพบหลักฐานเครื่องมือสำริดที่เป็นอาวุธ เครื่องประดับ เครื่องมือเครื่องใช้ กลองสำริด เครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสี เช่น ที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี 2. 2 ยุคเหล็ก มีอายุประมาณ 2, 500 ปีมาแล้ว ดังพบเครื่องมือเหล็กที่ทนทานและใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเครื่องมือสำริด เช่น ที่บ้านดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบุรี สังคมยุคนี้มีความซับซ้อนมากขึ้น มีการติดต่อกับต่างถิ่น มีชนชั้น ดังจะเห็นได้จากการฝังศพ ที่บางศพมีข้าวของเครื่องใช้และเครื่องประดับมากมาย แสดงถึงการเป็นบุคคลสำคัญ 3. 2 สมัยประวัติศาสตร์ สมัยประวัติศาสตร์เป็นสมัยที่ปรากฏหลักฐานลายลักษณ์อักษร หลักฐานสมัยประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนไทย คือ ศิลาจารึก ในหลายพื้นที่พบศิลาจารึกที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น ที่ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ซับจำปา จังหวัดลพบุรี ส่วนจารึกที่ปรากฏศักราชชัดเจนที่สุด คือ จารึกอักษรปัลลวะ เป็นภาษาสันสกฤตและเขมร พบที่ปราสาทเขาน้อย จังหวัดปราจีนบุรี ระบุมหาศักราช 559 หรือตรงกับ พ. 1180 สำหรับการแบ่งสมัยประวัติศาสตร์ในดินแดนไทยโดยละเอียดมีดังนี้ 1) สมัยอาณาจักรรุ่นแรก ๆ นับช่วงเวลาก่อนการตั้งอาณาจักรสุโขทัย เช่น อาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) อาณาจักรละโว้ (พุทธศตวรรษที่ 12-18) หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เช่น ศิลาจารึก เหรียญจารึก รัฐโบราณเหล่านี้มีการสร้างสรรค์อารยธรรมภายใน และมีการรับและแลกเปลี่ยนอารยธรรมจากภายนอก เช่น การรับพระพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การติดต่อค้าขายกับพ่อค้าต่างแดน เป็นต้น 2) สมัยสุโขทัย ตั้งแต่การสถาปนากรุงสุโขทัยเมื่อ พ.
นับตามลำดับก่อนหลัง มี 3 แบบ คือ 1. 1 อดีต คือ เวลาที่ล่วงเลยผ่านไปแล้ว 1. 2 ปัจจุบัน คือ เวลาที่เป็นอยู่ในขณะนี้ 1. 3 อนาคต คือ เวลาที่อยู่ข้างหน้า ยังมาไม่ถึง 2. การนับเวลาเป็นช่วงระยะ เป็นการนับช่วงเวลาที่ต่อเนื่องกัน มี 3 ระยะ คือ ระยะ 10 ปี ระยะ 100 ปี และระยะ 1, 000 ปี มีชื่อเรียกและข้อกำหนดดังนี้ ทศวรรษ หมายถึง เวลาในระยะสิบปี (ทศ = 10) โดยใช้เกณฑ์การนับ คือ ให้เริ่มนับปีที่ขึ้นต้นด้วย 0 เป็นปีแรก จะนับไปสิ้นสุดที่เลขตัวท้ายเป็น 9 เช่น จากปี พ. ศ. 2540 ถึง ปี พ. 2549 นับเป็น 1 ทศวรรษ ศตวรรษ หมายถึง เวลาในระยะร้อยปี (ศต = 100) โดยใช้เกณฑ์การนับ คือ ให้เริ่มนับปีที่เลขตัวท้าย เป็น 1 นับไปจนถึง 100 ปี เช่น พุทธศตวรรษที่ 1 คือ พ. 1 – 100 พุทธศตวรรษที่ 25 คือ พ. 2501 – 2600 สหัสวรรษ หมายถึง เวลาในระยะพันปี (สหัส = 1, 000) โดยใช้เกณฑ์การนับแบบเดียวกับศตวรรษ คือ ให้เริ่มนับปีที่เลขตัวท้ายเป็น 1 นับไปจนถึง 1000 ปี เช่น สหัสวรรษที่ 1 ของคริสต์ศักราช คือ ค. 1 – 1000 สหัสวรรษที่ 2 ของคริศต์ศักราช คือ ค. 1001 – 2000 ขณะนี้เข้าสู่สหัสวรรษที่ 3 ของคริสต์ศักราช คือ เริ่มต้นในปี ค. 2001 3. การนับเวลาทางสุริยคติ เป็นการนับวัน เดือน ปี ตามเกณฑ์ของดวงอาทิตย์ โดยถือเป็นสากลว่า โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ เป็นวลา 1 ปี เท่ากับ 365 วัน กับ 6 ชั่วโมง หรือ 365 ¼ วัน เมื่อถึงปีที่ 4 จึงมี 366 วัน เรียกว่า ปีอธิกสุรทิน จำนวน วัน เดือน ปี ทางสุริยคติจะมีกำหนดให้ตรงกันทั่วโลก แม้ว่าจะมีชื่อต่างกันไปแล้วแต่ภาษาของแต่ละชาติสำหรับของไทย มีชื่อกำหนด ดังนี้ 3.