เวลาที่งูออกหากินคือเวลาที่พลบค่ำและเวลาที่ฝนตกปรอยๆ ที่ชื้น แฉะ งูชอบออกหากินกบและเขียด ในเวลาและสถานที่ดังกล่าว ควรระมัดระวัง เป็นพิเศษ 5. ไม่ควรหยิบของหรือยื่นมือเข้าไปในโพรงไม้ ในรู ในที่รก กอหญ้า หรือกองไม้ เพราะงูพิษอาจอาศัยอยู่ในที่นั้น การปฐมพยาบาลผู้ป่วยเป็นลม การเป็นลมแดด สาเหตุ เกิดจากสมองมีเลือดไปเลี้ยงมากเกินไป ซึ่งอาจเนื่องมาจากอยู่กลางแดดนานเกินไปหรือดื่มสุราขณะที่อากาศร้อนจัด เป็นต้น อาการ ใบหน้าและนัยน์ตาแดง เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ หายใจถี่ ชีพจรเต้นเร็วและเบา ผิวหนังและใบหน้า แห้ง ตัวร้อน ถ้าเป็นมากอาจจะมีอาการชักและหมดสติได้ วิธีการปฐมพยาบาล 1. รีบนำผู้ป่วยเข้าในร่มที่ใกล้ที่สุด 2. ให้ผู้ป่วยนอนหงายแล้วยกศีรษะให้สูงกว่าลำตัว 3. อย่าให้แอมโมเนียหรือยากระตุ้นหัวใจ เพราะจะกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น 4. ขยายเสื้อผ้าของผู้ป่วยให้หลวม เพื่อให้เลือดหมุนเวียนได้สะดวก 5. เมื่อผู้ป่วยรู้สึกตัวแล้วและร่างกายเย็นมาก ให้เอาผ้าห่อคลุมตัว ให้อบอุ่นและหาเครื่องดื่มร้อนๆ ให้ดื่มเพื่อให้ความอบอุ่นร่างกาย 6. ถ้าผู้ป่วยยังไม่รู้สึกตัวให้รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว อย่าลืม!
ให้รับประทานยาแก้ปวด 4. ถ้าอาการยังไม่ทุเลาลง ให้รีบนำส่งแพทย์โดยเร็ว 4. งู ประเทศไทยมีงูหลายชนิด มีทั้งงูพิษและงูไม่มีพิษ งูพิษร้ายแรงมี อยู่ 7 ชนิด คือ งูเห่า งูจงอาง งูแมวเซา งูกะปะ งูสามเหลี่ยม งู เขียวหางไหม้ และงูทะเล พิษของงูมีลักษณะเป็นสารพิษ งูแต่ละชนิดมีลักษณะ ของสารไม่เหมือนกัน เมื่อสารพิษนี้เข้าไปสู่ร่างกายแล้วสามารถซึมผ่านเข้า ไปในกระแสเลือดที่ไปเลี้ยงตามส่วนต่างๆ เกิดขึ้นในร่างกายไม่เหมือน กัน ซึ่งสามารถแบ่งลักษณะงูพิษได้ 3 ประเภท ลักษณะบาดแผลที่ถูกงูพิษและงูไม่มีพิษกัด 1. งูพิษมีเขี้ยวยาว 2 เขี้ยว อยู่ด้านหน้าของขากรรไกรบนมีลักษณะเป็นท่อ ปลายแหลมเหมือนเข็มฉีดยา มีท่อต่อมน้ำพิษที่โคนเขี้ยว เมื่องูกัดพิษงูจะ ไหลเข้าสู่ร่างกายทางรอยเขี้ยว 2. งูไม่มีพิษจะไม่มีเขี้ยว มีแต่ฟันธรรมดาแหลมๆ เล็กๆ เวลากัดจึงไม่มีรอยเขี้ยว วิธีปฐมพยาบาล เมื่อแน่ใจว่าถูกงูกัด ให้ทำการปฐมพยาบาลอย่างสุขุมรอบคอบรัดกุม อย่า ตกใจ ให้รีบสอบถามลักษณะงูที่กัดจากผู้ป่วยและรีบทำการปฐมพยาบาลตาม ลำดับ ดังนี้ 1. ใช้เชือก สายยาง สายรัด หรือผ้าผืนเล็กๆ รัดเหนือแผล ประมาณ 5-10 เซนติเมตร โดยให้บริเวณที่ถูกรัดอยู่ระหว่างแผลกับหัวใจ รัด ให้แน่นพอสมควร แต่อย่าให้แน่นจนเกินไป พอให้นิ้วก้อยสอดเข้าได้ เพื่อ ป้องกันไม่ให้พิษงูเข้าสู่หัวใจโดยรวดเร็ว และควรคลายสายที่รัดไว้ ควรใช้ สายรัดอีกเส้นหนึ่งรัดเหนืออวัยวะที่ถูกงูกัดขึ้นไปอีกเปลาะหนึ่ง เหนือรอย รัดเดิมเล็กน้อยจึงค่อยคลายผ้าที่รัดไว้เดิมออก ทำเช่นนี้ไปจนกว่าจะได้ฉีด ยาเซรุ่ม 2.
10 บาดแผล บาดแผลมื ๒ ชนิด ได้แก่แผลปิด คือ การฉีกขาดของเนื้อเยื้อใต้ผิวหนัง เช่น ฟกชำ้า ข้อเท้าพลิก แผลเปิด คือ แผลที่มีการฉีกขาด เช่น แผลถลอก แผลตัด บาดแผลปิด ใช้นำ้าแข็งประคบเพื่อไม่ให้เลือดออก และช่วยลดอาการปวด บาดแผลเปิด ทำาความสะอาดรอบๆแผลด้วย 11. 11 การปฐมพยาบาลข้อ เคลื่อน กระดูกหัก 12. 12 13. 13 14. 14
จำไว้นะครับว่า " ต้องเรียนรู้หลักการให้ถูกต้อง และ ฝึกฝนจนมีความชำนาญ จึงจะปฏิบัติการจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ " และมี สติ
นำสิ่งอุดตันทางเดินหายใจออกก่อนเพื่อให้สามารถหายใจได้สะดวก โดยล้วงสิ่งอุดตันออกจากปากถ้ามองเห็น หรือใช้วิธีการตบบริเวณกลางหลัง ระหว่างสะบักทั้ง 2 ข้าง แรงๆ 2-3 ครั้ง เพื่อให้สิ่งที่อุดตันนั้นหลุดออก 2. ถ้าอากาศเป็นพิษ หรือมีอากาศไม่เพียงพอ ให้รีบนำผู้เป็นลมออกมาในที่มีอากาศบริสุทธิ์ และถ่ายเทได้ดีก่อน 3. เมื่อแก้ไขในข้อ 1 และข้อ 2 แล้ว จึงให้การช่วยเหลือ โดยจัดท่าให้ผู้เป็นลมนอนหงายให้ศีรษะต่ำ อาจหาวัสดุรองยกปลายเท้าให้สูงประมาณ 1 ฟุต ให้หันหน้าตะแคงไปข้างใดข้างหนึ่ง คลายเสื้อผ้าให้หลวม อย่าให้คนมุงดู เพราะต้องการให้อากาศถ่ายเทได้ดี ให้ดมแอมโมเนียหรือยาดม แล้วใช้ผ้าซุบน้ำเช็ดหน้า คลิปการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ให้ผู้ป่วยเจ็บนอนราบศีรษะอยู่ระดับเดียวกับตัว อย่าเคลื่อนไหวผู้ป่วยเจ็บโดยไม่จำเป็น จัดให้นอนศีรษะต่ำเมื่อหน้าซีด หรือยกศีรษะขึ้นเล็กน้อยเมื่อหน้าแดง 3. ตรวจดูการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญที่สุดคือดูว่ามีการหยุดหายใจหรือเปล่า หรือมีการตกเลือดรุนแรงหรือไม่ เพราะจะทำให้เสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วได้ หลังจากนั้นจึงค่อยตรวจดูการบาดเจ็บอย่างอื่น สำหรับการถอดเสื้อผ้าให้ทำเท่าที่จำเป็นและรบกวนผู้ป่วยเจ็บให้น้อยที่สุด 4. ทำการปฐมพยาบาลสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตก่อน ถ้ามีการไม่หายใจหรือหัวใจหยุดเต้น ต้องแก้ไขก่อน ถ้ามีการตกเลือดรุนแรงก็ทำการห้ามเลือดก่อน แล้วจึงป้องกันและรักษาช็อค กรณีที่ไม่มีสิ่งผิดปกติดังกล่าวให้รักษาความอบอุ่นของร่างกาย นอนนิ่ง ๆ และให้มีอากาศปลอดโปร่ง 5. ปลดคลายเสื้อผ้าที่คับหรือรัดออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริเวณคอ อก ท้อง และขา 6. ป้องกันไม่ให้เกิดการสำลัก ถ้ามีการอาเจียนให้พลิกหน้าผู้ป่วยเจ็บตะแคงไปด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อให้สิ่งที่อาเจียนไหลออกจากปากได้สะดวก ถ้าหมดสติ อย่าให้ผู้ป่วยเจ็บดื่มน้ำหรือยา 7. ให้จิบน้ำได้เล็กน้อยถ้าผู้ป่วยเจ็บรู้สึกตัว จะทำให้สดชื่นขึ้น กรณีที่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อย่าให้สิ่งใดทางปากโดยเด็ดขาด เพราะอาจมีการบาดเจ็บที่กระเพาะอาหารหรือลำไส้ จะทำให้มีอันตรายมากขึ้น 8.