เมื่อไบออสอ่านระบบไฟล์ของไดรฟ์ที่บูทได้แล้ว จะไปอ่านโปรแกรมของระบบปฏิบัติการที่เรียกว่า เคอร์เนล (kernel) เข้ามาเก็บในหน่วยความจำหลักหรือ RAM ก่อน 7. เคอร์เนล (kernel) ที่ถูกถ่ายโอนลงหน่วยความจำแล้ว จะเข้าไปควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์โดยรวมและโหลดค่า configuration ต่าง ๆ พร้อมแสดงผลออกมาผ่านหน้าจอของผู้ใช้เพื่อรอรับคำสั่งการทำงานต่อไป ประเภทของการบูทคอมพิวเตอร์ 1. Cold boot เป็นการบูทคอมพิวเตอร์โดยการกดปุ่มเปิดเครื่อง (Power On) แล้วเข้าสู่กระบวนการทำงานโดยทันที โดยปุ่มเปิดเครื่อง (Power On) ทำหน้าที่ปิดเปิดการทำงานโดยรวมของคอมพิวเตอร์คล้ายกับสวิทช์ของอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป ***สรุปง่ายๆ ก็คือ เปิดคอมพิวเตอร์จากที่ปิดเครื่องอยู่ตามปกติ 2. Warm boot เป็นการบูทคอมพิวเตอร์โดยทำให้เกิดการบูทใหม่ หรือรีสตาร์ทเครื่อง (restart) มักจะใช้ในกรณีที่คอมพิวเตอร์มีปัญหาไม่สามารถทำงานต่อไปได้/เครื่องค้าง/เครื่องแฮงค์ ซึ่งจะต้องบูทเครื่องใหม่ มีวิธีหลักๆ ดังนี้ - กดปุ่ม Ctrl + Alt + Delete จากคีย์บอร์ด แล้วเลือกคำสั่ง restart - สั่ง restart คอมพิวเตอร์จากสตาร์ทเมนูของแต่ละระบบปฏิบัติการ - กดปุ่ม Reset บนตัวเครื่อง *** สรุปง่ายๆ ก็คือ การรีสตาร์ทเครื่องจากที่เครื่องเปิดอยู่ให้บูทเครื่องใหม่
1. ทำไมต้องล้างเครื่องอาการเป็นอย่างไร.. ที่เราควรจะต้องล้างเครื่อง ตอบ – ไม่สามารถบู๊ตเข้าสู่ Windows ได้ – ไม่สามารถบู๊ตเข้าสู่ Safe Mode ได้ – เครื่องอืด และช้ามากๆ – เครื่องมีอาการแปลกๆเพราะมีไวรัส – เครื่องมีปัญหาจุกจิกกวนใจตลอดเวลา 2. อุปการณ์ที่ใช้ในการติดตั้งระบบปฏิบัติการ ตอบ -แผ่น HIREN BOOT เลือกใช้โปรแกรม Patition magic -WINDOWS -แผ่น DRIVER เครื่องคอมพิวเตอร์ 3. ขั้นตอนการติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 1. ติดตั้งแบบอัพเกรดจาก Windows ตัวเดิม โดยใส่แผ่น CD และเลือกติดตั้งจาก CD นั้น ได้เลย 2. ติดตั้งโดยการบูตเครื่องใหม่จาก CD ของ Windows XP Setup และทำการติดตั้ง 3.
BIOS จะแสดงรายการตัวเลือกต่างๆ สำหรับการตั้งค่า Legacy Boot ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่นของพีซีของคุณ หมายเหตุ: ชื่อที่คุ้นเคยบางชื่อที่ระบุการตั้งค่า Legacy Boot ได้แก่ Legacy Support, Boot Device Control, CSM ดั้งเดิม, Boot Mode, Boot Option, Boot Option Filter และ CSM 3. เมื่อคุณพบตัวเลือก การตั้งค่า Legacy Boot แล้ว ให้เปิดใช้งาน 6. สุดท้าย กด F10 เพื่อ บันทึก การตั้งค่า
ให้คลิกขวาที่ไอคอน My Computer > Properties 2. ที่หน้าต่าง Hardware ให้คลิกแท็ป Device Manager 3.
1. ก่อนลงมือทำความสะอาดเครื่องคอมพิวเตอร์เราควรปิดเครื่องทิ้งไว้ ประมาณกี่นาที ก. 5-10 นาที ข. 1-5 นาที ค. 15-20 นาที ง. ทำความสะอาดได้ทันทีหลังจากปิดเครื่อง 2. อุปกรณ์ใดที่ไม่ควรนำมาทำความสะอาดเครื่องคอมพิวเตอร์ ก. ไม้ขนไก่ ข. เครื่องดูดฝุ่น ค. น้ำยาทำความสะอาดคอมพิวเตอร์ ง. ผ้าแห้ง 3. ประโยชน์ที่เราได้จากการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ถูกวิธี คือข้อใด ก. เพิ่มประสิทธิภาพในใช้คอมพิวเตอร์ ข. มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์ ค. ยืดอายุการใช้งานคอมพิวเตอร์ ง. ถูกทุกข้อ 4. ใครช่วยให้คอมพิวเตอร์มีอายุการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้น ก. บี ซ่อมคอมพิวเตอร์เองโดยไม่มีความรู้ ข. เอ วางคอมพิวเตอร์ใกล้หน้าต่างที่มีแสงแดด ค. ฟาง วางคอมพิวเตอร์ห่างจากผนัง 15 ซ. ม. ง. จอย วางแจกันดอกไม้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ 5. ข้อใดทำความสะอาดเมาส์แบบทางกลหรือลูกยางได้ถูกต้อง ก. แกะเมาส์นำลูกยางออกมาเช็ดทำความสะอาด ข. ใช้คอตตอนบัดเช็ดภายในช่องส่องแสง ค. หงายเมาส์ขึ้นแล้วเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำเปียก ง. คว่ำเมาส์ลงแล้วถูบนผ้าสะอาด 6. การทำความสะอาดแป้นพิมพ์(คีย์บอร์ด)ที่ถูกต้องควรปฏิบัติอย่างไร ก. คว่ำและเขย่าเบาๆเพื่อให้เศษผงเล็กๆ หล่นออกให้หมด ข.
ถอด memory card, การ์ดจอ (graphics card) และสายไฟต่างๆ ที่เสียบอยู่กับ pin ของ CPU (Central Processing Unit) ถอดแบตแถวด้านล่างของเมนบอร์ด ปกติจะอยู่ในช่องเล็กๆ ของตัวเอง และมีสลักให้ปลดล็อค รอ 1 - 2 นาที ประกอบแต่ละชิ้นส่วนคืน 9 เสียบปลั๊กคอม. เปิดคอมอีกรอบ ก่อนจะทำขั้นตอน 7 และ 8 ต้องแน่ใจก่อนว่าคุณเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์พอ ไม่งั้นอาจเสียหายหนักกว่าเดิม 10 ให้ช่างซ่อม. ถ้ากลัวทำคอมพังหนักกว่าเดิม หรือทำตามขั้นตอนแล้วไม่ได้ผล ก็ยกไปให้ร้านซ่อมคอมจะดีกว่า พยายามอธิบายให้ละเอียด ว่าคอมมีปัญหายังไง แล้วปล่อยเป็นหน้าที่ของช่างเขาไป 1 เช็ค power supply. 2 เช็คที่ชาร์จแล็ปท็อป. เช็คว่าใช้ที่ชาร์จถูกอัน หรือเป็นที่ชาร์จสำหรับแล็ปท็อปรุ่นนั้น ปกติแล็ปท็อปต้องใช้ที่ชาร์จแบบ 16 - 20V ถ้ากำลังไฟต่างไปอาจแรงไม่พอชาร์จแล็ปท็อป 3 ทดสอบชาร์จด้วยสายอื่น. จะได้แน่ใจว่าไม่ได้เกิดปัญหาเพราะที่ชาร์จปัจจุบันเสีย 4 เช็คว่าแบตเหลือไหม. แบตของแล็ปท็อปต้องมีไฟค้างอยู่บ้าง ถ้าแบตใกล้หมด ให้รีบเสียบชาร์จทันที 5 ปิดเครื่อง. 6 รอ 1 - 2 นาที. แล้วรีสตาร์ท 7 ปลดอุปกรณ์เสริมที่เชื่อมต่อกับแล็ปท็อปออกให้หมด. พวกอุปกรณ์ external ที่ต้องเอามาเสียบต่อ ต้องถอดให้หมด เช่น หน้าจอ กล้อง และอื่นๆ เพื่อเช็คให้ชัวร์ว่าไม่มีอุปกรณ์ไหนเป็นสาเหตุทำแล็ปท็อปบูทไม่ขึ้น เช็คว่าหน้าจอใช้การได้ดี.
สิ่งที่ต้องเตรียม 1. แผ่น Hiren's Boot CD จะแบบ CD หรือใส่ใน USB ก็ได้ทั้งนั้น (แนะนำ Ver. 9. 8 เป็นต้นไป) ** ท่านใดที่ไม่มี ไม่เคยใช้ สามารถ Search หาใน Google ได้ครับ ทั้งวิธีใช้และดาวโหลด หมายเหตุ * Hiren's Boot CD คือ เครื่องมือสำหรับช่างคอมฯเอาไว้ซ่อมคอมพิวเตอร์ที่เสีย ซึ่งในนี้ จะมีโปรแกรมจำเป็นในการใช้งานมากมาย ที่ล้วนแต่ถูกรวบรวมมาให้เราได้ใช้แก้ไขปัญหาคอมเสียครับ วิธีการใช้งาน Hiren boot เบื้องต้น 1. เมื่อเราได้ไฟล์ มาแล้วให้เรา ไรท์ ใส่แผ่น CD หรือใช้เครื่องมือเอาใส่ใน USB ก็ได้ครับ 2. ให้เราเข้าไปแก้ไขค่าใน Bios ของเครื่องเราโดยกด Del (หรือ F2 ขึ้นอยู่กับประเภทของ Bios) 3. ตั้งค่า Bios ให้เลือก Boot จาก CD Rom เป็นอันดับแรก หรือ USB ที่เป็น Hirent ของเรา 4. ใส่แผ่น Hirent's Boot และรีสตาร์ท รอให้เครื่องบูทใหม่จาก CD Rom ที่เป็น Hirent เพื่อเข้า สู่หน้าจอของโปรแกรมในแผ่น Hirent's Boot ทีนี้ก็เตรียมใช้งานได้ครับ วิธีการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น Windows รีบูทตลอด ไม่เข้าวินโดส์ 1. ใช้แผ่น Hiren's Boot บูทเข้าหน้าจอของ Hirent และเลือกหัวข้อตามนี้ครับ ซึ่งจะทำให้เราเข้าสู่ Windows XP (เสมือน) จากแผ่นของ Hiren 's ครับ ซึ่งไม่ใช่ Windows ที่เราใช้ งานอยู่นะครับ อย่าเข้าใจผิด แต่เราสามารถเข้าไปเปิดดูไฟล์ต่างๆในไดส์ของเราทั้งหมดได้ ซึ่งเราสามารถ ใช้วิธีนี้สำรองข้อมูลสำคัญๆต่างๆของเราได้ ในกรณีที่เราไม่สามารถเข้าวินโดส์แบบปกติครับ ซึ่งก็ถือว่ามี ประโยชน์อย่างยิ่งในกรณีฉุกเฉินแบบนี้ แต่ในกรณีนี้ เราจะเข้ามาซ่อมแซม Windows เก่าของเราให้ สามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติครับ 2.
ใครใช้คอมเป็นประจำต้องเคยเจอบางวัน ที่อยู่ๆ คอมหรือแล็ปท็อปก็บูทไม่ขึ้นซะงั้น อาการนี้อาจเป็นสัญญาณบอกความเสียหายที่ร้ายแรงกว่า แต่ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาเล็กๆ ที่แก้ไขได้เอง บทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีการแก้ปัญหาคอมบูทไม่ขึ้นให้คุณเอง ทั้ง Windows และ Mac เลย 1 เช็ค power supply.
เมื่อพูดถึงเรื่องการบูทเครื่อง (Boot Up) นั่นคือการที่คอมพิวเตอร์นำระบบปฏิบัติเข้าไปเก็บในหน่วยความจำ (Memory Unit) ก่อน แล้วระบบปฏิบัติการจึงจะเริ่มทำงานตั้งแต่เปิดสวิทซ์เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นต้นไป โดยมีขั้นตอนแบบอธิบายง่ายๆ ดังนี้ 1. Power Supply จะจ่ายพลังงานไฟฟ้าไปให้อุปกรณ์ต่างๆ บนคอมพิวเตอร์ โดยจะเริ่มจ่ายพลังงานไฟฟ้าทันทีที่กดปุ่ม Power On และตอนนั้นจะมีสัญญาณ Power Good ส่งไปบอกซีพียูให้เริ่มทำงาน 2. ทันทีที่ CPU ได้รับสัญญาณ CPU จะพยายามเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ในไบออสเพื่อทำงานตามชุดคำสั่งที่เก็บไว้โดยทันที 3. โปรแกรมจะเริ่มทำงานตามกระบวนการ POST (Power On Self Test) เพื่อตรวจสอบความพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งอยู่ในคอมพิวเตอร์ สามารถดูผลการตรวจสอบได้ทั้งแบบข้อความที่แสดงบนหน้าจอในระหว่างบูทและจากเสียงสัญญาณที่คอมพิวเตอร์ส่งออกมา 4. ผลลัพธ์จากกระบวนการ POST จะถูกนำมาตรวจสอบกับข้อมูลซีมอส (CMOS – complementary metal oxide semiconductor) ถ้าถูกต้องตรงกันจะทำงานต่อได้ แต่ถ้าไม่ จะต้องแจ้งให้ผู้ใช้แก้ไขข้อมูลก่อน 5. ไบออสจะอ่านโปรแกรมสำหรับการบูทระบบปฏิบัติการจากเซ็กเตอร์แรกของฮาร์ดดิสก์หรืออุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลไว้ 6.