25 ฉะนั้น ค่าสัมประสิทธิ์จะเท่ากับ 0. 0080 ความยาว/ความกว้าง 1. 50 ฉะนั้น ค่าสัมประสิทธิ์จะเท่ากับ 0. 0090 ความยาว/ความกว้าง 2. 00 ฉะนั้น ค่าสัมประสิทธิ์จะเท่ากับ 0. 0100 ความยาว/ความกว้าง 2. 0105 ซึ่งถ้าหากสัดส่วนความยาวต่อความกว้างของเพชรคุณ ไม่ได้เท่ากับตัวเลขด้านบนนี้เป๊ะๆ ก็ให้ใช้ตัวเลขที่ใกล้เคียงที่สุด ตัวอย่างเช่น ถ้าหากเพชรของคุณเป็นรูปทรงเหลี่ยม มีความลึกเท่ากับ 2. 5 mm ยาว 5 mm และกว้าง 3. 5 mm ดังนั้น สัดส่วนความยาวต่อความกว้างจะเท่ากับ: 5/3. 5 = 1. 43 ซึ่งตัวเลขที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือสัดส่วน 1. 50 ทำให้คุณสามารถใช้ค่าสัมประสิทธิ์ = 0. 0090 ได้เลยครับ เสร็จแล้วก็มาคำนวณกะรัตกันต่อ จะได้การคำนวณดังนี้ครับ: 5 x 3. 5 x 2. 5 x 0. 0090 = 0. 394 กะรัต หรือหนักประมาณ 39 สตางค์นั่นเอง อย่างไรก็ดี ให้จำไว้ว่าวิธีนี้เหมาะสำหรับเวลาที่คุณอยากประเมินน้ำหนักเพชรโดยคร่าวๆเท่านั้นนะครับ ถ้าหากอยากรู้กะรัตที่แน่นอน ควรใช้เครื่องชั่งดีกว่า ขั้นตอนการชั่งน้ำหนักเพชร หากคุณไปที่ร้านเพชรและต้องการชั่งน้ำหนักเพชร โดยปกติจะมีขั้นตอนดังนี้ 1. นำเพชรวางบนเครื่องชั่ง โดยใช้เครื่องชั่งแบบ sensitive ที่สามารถวัดได้ถึงหน่วยมิลลิกรัม หากเพชรของคุณอยู่บนแหวนเพชรแล้ว ก็จำเป็นต้องให้ช่างถอดออกมาเพื่อวัดกะรัตครับ 2.
คำถามนี้เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย แต่เราก็ให้คำตอบไม่ได้ซักที เพราะเป็นคำถามที่ตอบยาก เนื่องจากแต่ละคน มีบรรทัดฐานที่ต่างกัน บางคนบอกว่าขนาดที่ใส่ประจำวันคือ 30 ตัง บางคนบอก 50 ตัง หรือบางคนบอก 1 กะรัตก็ใส่ทุกวันได้ บางคนเลือกที่จะซื้อ 2 กะรัตไว้ใส่ในโอกาสดีๆ เช่นดินเนอร์กับสามี ออกงานสังคม แล้วเลือกซื้ออีกวงที่มีขนาดเล็กกว่าไว้ใส่ไปส่งลูกไปโรงเรียน เพราะฉะนั้นคำตอบคงจะต้องขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ และไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน…รวมไปถึงแบงค์ในกระเป๋าด้วย
1 กะรัต เท่ากับ 0. 2 กรัม